วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประวัติวันปีใหม่




ความเป็นมา

ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น ค่ำ เดือน ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป





เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น










ข้อมูลจาก http://namfonlf.blogspot.com/2012/01/blog-post.html

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รู้จักวัน Christmas




ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

            ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม





องค์ประกอบในงานคริสต์มาส
ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง






ถุงเท้า
          
จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง






ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก

          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส







ต้นฮอลลี่
          
ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์







คำอวยพรวันคริสต์มาส
          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป





ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข





ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม




เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                       
         
ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ




ของขวัญวันคริสต์มาส
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์






วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวเชียงใหม่



เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 ได้เดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่กัน เพราะเป็นสถานที่น่าเที่ยวอีกจังหวัดหนึ่ง  ได้ออกเดินทางตอนเย็นโดยรถยนต์ ขับไปสบายๆไม่ต้องต้องรีบ ไปถึงก็เช้าพอดี


อาหารเช้านั้นก็คือโจ๊ก


และติ่มซำ




หลังจากกินเสร็จก็เดินทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพกัน


ระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพ แวะไหว้ครูบาเจ้าศรีวิชัย



แวะดอยปุย





มีค่าบริการในการเข้าชมคนละ 10 บาท มีชุดชาวเขาให้เช่า เพื่อถ่ายรูป ด้านบนก็จะมีดอกไม้ อากาศเริ่มจะรู้สึกเย็น ๆขึ้นมาหน่อย มองออกไปด้านนอกสวยงามมาก กับภูเขาหลายๆ ลูกที่ปลกคลุมด้วยต้นไม้



ก็จะมีน้องๆชาวเขามาพูดว่า "พี่ค๊ะ ถ่ายรูปกับพวกหนูม๊ายค๊าาา" พูดซ้ำหลายๆ รอบจนกว่าจะถ่ายรูปด้วย
และก็ให้ตังในการถ่ายรูปด้วย


พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ค่าเข้าสำหรับคนไทยอยู่ที่คนละ 20 บาท  ข้อห้าม ห้ามกางเกงขาสั้น เลคกิ้ง เสื้อแขนกุด ทั้งชายและหญิง (มีบริการให้เช่ายืมผ้าถุงชิ้นละ 15-20) ภายในมีสวนดอกไม้นานาพรรณ กุหลาบสวยๆดอกใหญ่











ดอยสุเทพ





จะมีการแสดงของเด็กๆให้ได้ชมกัน



วิวเมืองเชียงใหม่




เสร็จแล้วก็ขึ้นไปพักที่ม่อนแจ่ม





บรรยากาศตอนเช้าบนม่อนแจ่ม



พระอาทิตย์กำลังขึ้น


  
วันที่ 2 ลงมาจากม่อนแจ่ม ไปหมู่บ้านทำร่มบ่อสร้างสินค้าพื้นเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมาก





น้ำพุร้อนสันกำแพง
มีค่าธรรมเนียมบัตรผ่านประตู เด็ก 10 บาท, ผู้ใหญ่ 20 บาท




พอตอนกลางคืนก็ไปเดิน "ถนนคนเดินเชียงใหม่" 
ถนนคนเดินจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ "ถนนวัวลาย" และวันอาทิตย์ที่ "ถนนท่าแพ" โดย "ถนนคนเดินท่าแพ" อยู่บริเวณประตูเมืองท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนิน เปิดเฉพาะวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 
17.00 - 22.00 น. เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าขนาดใหญ่ มีสินค้าให้เลือกสรรมากมายหลากหลายประเภท 
ทั้งสินค้าทางวัฒนธรรม



 ถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย
และชาวต่างประเทศ


สำหรับผู้ที่สนใจอยากเดินทางไปเชียงใหม่

ดูรายละเอียดได้ที่ http://travel.kapook.com/view345.html

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Review Smooth E Cream




คุณสมบัติ

  ครีมตัวนี้ เป็นครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย ผ่านการค้นคว้าวิจัย โดยนักวิทยาศาสตร์การแพทย์และผ่านการทดสอบความปลอดภั­ยโดยแพทย์ผิวหนัง ใช้ทาเพื่อลดปัญหาต่างๆของผิวหน้าและผิวกาย สามารถใช้เป็นครีมบำรุงเพื่อช่วยให้ผิวขาวใสไม่แห้งกร้าน ไร้ริ้วรอยและดูอ่อนกว่าวัย มีส่วนผสมของอัลฟ่าโทโคฟีรอล ที่ช่วยดูแลผิวให้ชุ่มชื้นกับผิวที่แห้งกร้านและมีริ้วรอย ส่วนผสมสมุนไพรอะโลเวร่า จะช่วยลดเลือนและสมานผิวที่ถูกทำลายจนเกิดริ้วรอยและ­จุดด่างดำ โจโจบาออยล์ธรรมชาติ (Jojoba Oil) จะบำรุงผิวให้เนียนนุ่มคงความชุ่มชื้นของเซลล์ผิวให้­เต่งตึงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ป้องกันรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย Centella Essence [CAE] จะเสริมประสิทธิภาพสมานผิว ที่ถูกทำร้ายจนเกิดริ้วรอยต่างๆ ให้ลดเลือนได้ไวขึ้น พร้อมช่วยสร้าง Collagen ให้ผิวเรียบ ขาว เนียนนุ่ม แลดูอ่อนเยาวว์

ข้อดี เป็นครีมที่ผู้ต้องการรักษารอยแผลเป็นจากสิว มักใช้กัน ด้วยราคาที่ไม่แพงมาก บวกกับประสิทธิภาพ ในการลดลอยด่างดำ ที่ ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคา  

แต่ข้อเสียของครีม Smooth E Cream  คือ สำหรับคนที่ยังเป็นสิวอยู่และหน้ามันมาก ไม่ควรใช้ เพราะ หน้ามันปรากฎว่าทำให้เกิดสิว อักเสบเม็ดเล็กๆ ขึ้นประจำ  

ด้วยความที่อยากใช้มานาน เพราะครีมตัวนี้ผ่านการตรวจสอบทางการแพทย์เรียบร้อย และถ้าสังเกตุให้ดีดี ร้านขายยาแทบทุกที่ก็จะมีครีมตัวนี้ขายอยู่ด้วย "อ่อนโยนโดยไม่แพ้ และผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และเป็นครีมที่มียอดขายอันดับหนึ่งจากร้านขายยาอีกด้­วย" หาซื้อได้ไม่ยาก ถ้าหาซื้อยาก ก็ไปที่เซเว่นได้เลย รับรองมีแน่นอน รับประกัน

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


THE MORTAL INSTRUMENTS: CITY OF BONES - Official Trailer





หนังแฟนตาซีหลายเรื่อง จับเอาช่วงเวลาที่Twilight Saga จะปิดฉาก เป็นการเปิดตัวครับ คล้ายกับจะบอกว่าเรานี่แหละที่จะมาแทนในอนาคต หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือThe Mortal Instruments: City Of Bones หรือที่มีชื่อนิยายไทยว่า นครรัตติกาล ตอนเมืองโครงกระดูก ได้ปล่อยตัวอย่างแรกออกมาที่ MTV ครับ

หนังดัดแปลงจากนิยายของแคสซานดรา แคลร์ ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กสาวที่ชื่อแคลรี่ (ลิลลี่ คอลลินส์) ซึ่งเห็นการฆาตกรรมในไนท์คลับ จากน้ำมือของเด็กหนุ่มที่มีอาวุธและรอยสักประหลาด แต่กลายเป็นว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่พบเห็น และศพที่ถูกฆ่าก็หายไปเฉยๆ แคลรี่ได้เจอกับเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง รู้ว่าเขาชื่อเจซ (เจมี่ แคมป์เบล โบเวอร์) ซึ่งบอกความจริงแก่เธอว่าเธอไม่ควรเห็นเขา เพราะเขาคือนักฆ่ารัตติกาล ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ ที่อยู่ในอีกโลกที่ซ้อนกับโลกมนุษย์ มีหน้าที่คอยกำจัดปีศาจต่างๆ มนุษย์ปกติไม่ควรมองเห็นโลกแห่งนี้ แต่แล้วจู่ๆ แม่ของแคลี่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ และมีเงื่อนงำเกี่ยวกับความเป็นมาของเธอ เจซจึงต้องพาแคลี่ไปยังเมืองโครงกระดูกเพื่อไขปริศนา

โทนหนังโดยรวมคล้ายซีรี่ส์ Buffy ผสมกับเรื่องราวตำนานลูกครึ่งเทพแบบ Percy Jackson มีรักหลายเส้าแบบTwilight และเพิ่มตัวละครเกย์ที่เอาใจสาววายเข้าไปอีก เห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้มีทุกองค์ประกอบที่วัยรุ่นยุคนี้จะชอบครับ




วันที่เข้าฉาย23 สิงหาคม 2556

แนวหนังโรแมนติค,ดราม่า,แอ็คชั่น,ผจญภัย
ผู้กำกับฮาราลด์ ซวาร์ต
นักแสดงโรเบิร์ต ชีแฮน, เจมี่ แคมป์เบลล์ โบเวอ, ลิลลี่ คอลลินส์, เควิน ซีเกอร์ส, เจไมม่า เวสต์